เปลี่ยนโคลน เป็น คันดิน ป้องกันน้ำท่วม ในพื้นที่ เชียงราย กับ ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ มูลนิธิมดชนะภัย

การจัดการขยะภัยพิบัติ

การจัดการขยะภัยพิบัติ (Disaster Waste Management) เป็นหัวข้อที่มีความสำคัญมากในบริบทของการจัดการทรัพยากรที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือดินถล่ม ขยะภัยพิบัติเกิดขึ้นจากทั้งวัสดุธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมถึงดินโคลน เศษไม้ วัสดุก่อสร้างที่เสียหายจากแผ่นดินไหว และเศษขยะที่ปนมากับน้ำท่วม ขยะเหล่านี้หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัย เช่น การแพร่ระบาดของโรค หรือการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำและดิน

ประเภทของขยะภัยพิบัติ

ขยะภัยพิบัติมักถูกแบ่งออกเป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น:

  1. ขยะจากน้ำท่วม: ประกอบด้วยดินโคลน เศษซากไม้ วัสดุจากสิ่งปลูกสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของต่าง ๆ ที่ถูกน้ำท่วมทำลาย
  2. ขยะจากแผ่นดินไหว: ส่วนใหญ่เป็นเศษซากอาคาร เช่น อิฐ ปูน และวัสดุอื่น ๆ ที่พังทลายลงมา
  3. ขยะจากดินถล่ม: รวมถึงดินโคลนจำนวนมากที่สไลด์ลงมาตามภูเขาหรือเนินเขา ซึ่งอาจปนเปื้อนกับเศษซากต้นไม้หรือสิ่งก่อสร้างที่ถูกทำลาย

ผลกระทบของขยะภัยพิบัติ

ขยะภัยพิบัติไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มปริมาณขยะในสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ตัวอย่างเช่น:

  • โรคระบาด: ขยะที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร หรือไม้ที่เน่าเปื่อย สามารถเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคและแมลง เช่น ยุง ซึ่งอาจนำมาสู่การระบาดของโรคต่าง ๆ
  • สารพิษ: ขยะที่ปนเปื้อนสารเคมีหรือวัสดุอันตราย เช่น สารปราบศัตรูพืชหรือสารพิษจากอุตสาหกรรม สามารถซึมลงไปในดินและแหล่งน้ำ สร้างผลกระทบระยะยาวต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

แนวทางการจัดการขยะภัยพิบัติ

องค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (United Nations) ได้ออกแนวทางการจัดการขยะภัยพิบัติเพื่อให้มั่นใจว่า จะมีการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงหลังภัยพิบัติ แนวทางหลักคือ:

  1. การแยกขยะ: เริ่มต้นด้วยการแยกประเภทขยะอย่างชัดเจน เช่น แยกดินโคลนออกจากขยะชุมชน เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น การนำดินโคลนมาผลิตเป็นวัสดุก่อสร้าง
  2. การใช้ประโยชน์จากขยะ: ขยะบางประเภท เช่น เศษไม้หรือดินโคลน สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น การใช้ดินในการปรับปรุงที่ดิน หรือการผลิตอิฐบล็อกเพื่อสร้างกำแพงกันดินสไลด์ในพื้นที่เสี่ยง
  3. การกำจัดขยะอันตราย: ขยะที่เป็นสารพิษหรือขยะที่ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ จะต้องถูกกำจัดอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน เช่น การฝังกลบหรือการเผาทำลาย โดยไม่ให้เกิดการปนเปื้อนกับสิ่งแวดล้อม

กรณีศึกษาการจัดการขยะภัยพิบัติในเชียงราย

ในจังหวัดเชียงราย การจัดการขยะภัยพิบัติเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเนื่องจากพื้นที่ภูเขาที่มักเกิดดินถล่มหลังฝนตกหนัก วัสดุที่ถูกน้ำพัดพาลงมา ไม่ว่าจะเป็นดิน เศษไม้ หรือเศษซากสิ่งปลูกสร้าง ถูกนำมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น การผลิตอิฐบล็อก (TOR Block) เพื่อนำกลับไปสร้างกำแพงกันดินในพื้นที่เสี่ยง ผลลัพธ์ไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังสร้างความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น

 

การนำดินและโคลนจากภัยพิบัติมาใช้ประโยชน์

การนำดินและโคลนจากภัยพิบัติมาใช้ประโยชน์ถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในการจัดการทรัพยากรและลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและดินถล่ม โดยแทนที่จะกำจัดดินและโคลนเหล่านี้ทิ้งไป การนำมาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างหรือประโยชน์ในทางการเกษตร สามารถช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนในพื้นที่ประสบภัยได้

แนวคิดการใช้ดินและโคลนในการผลิตบล็อกอิฐ

หนึ่งในแนวทางที่โดดเด่นในการนำดินและโคลนจากภัยพิบัติมาใช้ คือการผลิต บล็อกอิฐ หรือที่เรียกว่า TOR Block ซึ่งเป็นบล็อกดินที่นำไปใช้ในการสร้างกำแพงป้องกันดินสไลด์ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการถล่ม โดยกระบวนการนี้ไม่เพียงแค่ช่วยจัดการดินและโคลนที่เกิดจากภัยพิบัติเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างกำแพงกั้นดินและถนนที่ได้รับความเสียหายจากดินถล่มได้อีกด้วย

ตามที่ ดร.สุทธิศักดิ์ ได้กล่าวในสัมภาษณ์ กระบวนการผลิตบล็อกอิฐจากดินโคลนนี้เริ่มต้นจากการแยกดินและโคลนออกจากขยะชุมชน หลังจากนั้นจะนำดินเหล่านี้ไปผ่านการอัดให้เป็นบล็อกที่มีความแข็งแรง โดยมีการผสมซีเมนต์ในสัดส่วนที่เหมาะสม กระบวนการนี้เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วอย่างมีประสิทธิภาพและยังเป็นการลดต้นทุนในการสร้างกำแพงคอนกรีตที่มีราคาแพง

การสำรวจและคัดแยกดิน

หนึ่งในขั้นตอนสำคัญในการนำดินและโคลนมาใช้ประโยชน์คือการสำรวจและคัดแยกชนิดของดินให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ในงานก่อสร้าง ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ต่าง ๆ ของเชียงราย:

  • ดินจากก้นแม่น้ำ: ดินประเภทนี้มีลักษณะเป็นทรายแป้งหรือที่เรียกว่า Silt ซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการนำมาใช้ในการผลิตบล็อก
  • ดินจากภูเขา: ดินจากภูเขามักจะเป็นดินเหนียว ซึ่งสามารถใช้ในการทำบล็อกได้เช่นกัน แต่ต้องมีการปรับสัดส่วนในการผสมกับซีเมนต์ให้เหมาะสม

การคัดแยกดินที่มีคุณภาพดีจากเศษไม้และวัสดุอื่น ๆ มีความสำคัญมาก เพราะหากดินมีการปนเปื้อนด้วยขยะหรือสารเคมี อาจส่งผลให้คุณภาพของบล็อกที่ผลิตขึ้นมาไม่ดีพอสำหรับการนำไปใช้ในงานก่อสร้าง นอกจากนี้ หากมีเศษไม้หรืออินทรียวัตถุที่ยังไม่สลายตัวดีพอ ก็อาจเกิดปัญหาเรื่องความคงทนของบล็อกเมื่อเวลาผ่านไป

ประโยชน์ของการนำดินและโคลนมาใช้

การนำดินและโคลนจากภัยพิบัติมาใช้ประโยชน์มีข้อดีหลายประการ เช่น:

  1. การลดปริมาณขยะ: ดินและโคลนที่เกิดขึ้นในภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วมหรือดินถล่ม มักมีปริมาณมาก การนำดินเหล่านี้มาใช้ใหม่ ช่วยลดภาระในการกำจัดขยะและยังลดการใช้พื้นที่ฝังกลบอีกด้วย
  2. การฟื้นฟูสภาพดิน: ดินและโคลนที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตบล็อก ไม่เพียงแต่เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า แต่ยังช่วยฟื้นฟูสภาพดินในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์อีกด้วย เนื่องจากบล็อกที่ผลิตขึ้นสามารถนำไปใช้เป็นกำแพงป้องกันดินสไลด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน: การผลิตบล็อกอิฐจากดินโคลนช่วยสร้างงานและรายได้ให้กับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้ง ชุมชนสามารถใช้บล็อกเหล่านี้เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่แข็งแรงและปลอดภัยสำหรับอนาคต

กรณีศึกษาจากพื้นที่ประสบภัย

ในเสียงสัมภาษณ์ยังได้กล่าวถึงกรณีศึกษาจากพื้นที่ต่าง ๆ ที่นำดินและโคลนจากภัยพิบัติมาใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ในเขตแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ดินที่ถูกพัดมาจากน้ำท่วมและดินถล่มได้ถูกนำไปใช้ในการผลิตบล็อกเพื่อช่วยสร้างกำแพงกันดินในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์

หนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างมากคือโครงการพัฒนาดอยตุง ซึ่งได้นำบล็อกที่ผลิตจากดินในพื้นที่ไปใช้ในการสร้างกำแพงป้องกันดินถล่มที่เกิดขึ้นจากฝนตกหนักในฤดูมรสุม การดำเนินการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดดินสไลด์ แต่ยังช่วยฟื้นฟูพื้นที่เกษตรและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย

ความท้าทายในการนำดินและโคลนมาใช้

แม้ว่าการนำดินและโคลนมาใช้ประโยชน์จะมีข้อดีหลายประการ แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องคำนึงถึง เช่น การคัดแยกดินที่เหมาะสม การป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีจากการเกษตร และการจัดการกับขยะอินทรีย์ที่อาจทำให้กระบวนการผลิตบล็อกมีปัญหา

ในท้ายที่สุด การนำดินและโคลนจากภัยพิบัติมาใช้ประโยชน์ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังเป็นวิธีการสร้างประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ ซึ่งเป็นแนวทางที่ยั่งยืนในการจัดการสิ่งแวดล้อมและฟื้นฟูชุมชนให้เข้มแข็งพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต

ผลกระทบจากสภาวะอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather)

สภาวะอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาและมีความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม เช่น จังหวัดเชียงราย สภาวะเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ยังรวมถึงปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ พายุรุนแรง หรือความแห้งแล้งที่ยาวนานขึ้น

จากบทสัมภาษณ์ของ ดร.สุทธิศักดิ์ ได้อธิบายว่า สภาวะอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นในเชียงรายนั้นส่งผลกระทบต่อหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาดินถล่ม ที่เกิดจากฝนตกหนักผิดปกติ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความเสียหายทั้งต่อสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมาก

ผลกระทบจากฝนตกหนักและดินถล่ม

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ฝนตกหนักที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย รวมถึงเชียงราย โดยเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนในเชียงรายอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,400 มิลลิเมตรต่อปี แต่ในช่วงที่เกิดฝนตกหนักผิดปกติ อาจมีปริมาณน้ำฝนสูงถึง 400-500 มิลลิเมตรภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ฝนที่ตกหนักเช่นนี้ก่อให้เกิดน้ำหลากและดินถล่ม ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักแก่พื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นเนินเขาหรือภูเขา

ในบทสัมภาษณ์ ดร.สุทธิศักดิ์ ได้กล่าวว่า ดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้วในพื้นที่ที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขา ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะอากาศที่รุนแรง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ได้เพียงแค่ทำให้ฝนตกหนักขึ้น แต่ยังส่งผลให้ดินที่มีอยู่ไม่สามารถรับน้ำได้ทัน และเกิดการพังทลายลงมา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ไม่สามารถยึดเกาะดินได้ดีเหมือนต้นไม้ดั้งเดิม ทำให้ความสามารถในการต้านทานน้ำฝนลดลง

การเปลี่ยนแปลงในลักษณะของฝนและสภาพภูมิอากาศ

นอกจากฝนตกหนักแล้ว การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างผลกระทบจากสภาวะอากาศสุดขั้ว ภูมิภาคเชียงรายที่เคยมีฤดูกาลชัดเจน เช่น ฤดูฝน ฤดูร้อน และฤดูหนาว กลับมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่ไม่คงที่ ฤดูฝนมีฝนตกในปริมาณที่มากขึ้นและยาวนานขึ้น ส่วนฤดูร้อนกลับร้อนมากขึ้นและยาวนานกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชและการดำรงชีวิตของชุมชนในพื้นที่สูง

ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง

ในบทสัมภาษณ์ยังได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลาดชันหรือพื้นที่ที่น้ำหลากจะไหลผ่าน ในช่วงที่เกิดฝนตกหนักหรือดินถล่ม ความเปราะบางของสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ได้รับการออกแบบให้ทนต่อภัยพิบัติทำให้เกิดความเสียหายได้ง่าย เช่น การพังทลายของบ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่ลาดชัน ซึ่งไม่ได้เพียงแต่ส่งผลต่อทรัพย์สินของชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในหลายพื้นที่อีกด้วย

ดร.สุทธิศักดิ์ ยังได้เน้นถึงความสำคัญของการจัดการที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การสร้างกำแพงป้องกันดินสไลด์จากวัสดุที่ทนทาน การยกพื้นบ้านให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม และการซักซ้อมรับมือกับภัยพิบัติในชุมชนเพื่อให้พร้อมรับมือกับสภาวะอากาศสุดขั้วที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การเตรียมตัวและการปรับตัวของชุมชน

หนึ่งในสิ่งที่ต้องทำเพื่อรับมือกับสภาวะอากาศสุดขั้วคือ การสร้างความตระหนักรู้และการเตรียมพร้อมในชุมชน ซึ่งชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ เช่น ดินถล่ม น้ำท่วม หรือพายุรุนแรง ควรมีการซักซ้อมและวางแผนรับมือร่วมกัน การวางแผนเหล่านี้ควรรวมถึงการกำหนดสถานที่ปลอดภัยสำหรับการอพยพ การจัดเตรียมเส้นทางหนีภัย และการแบ่งหน้าที่ในชุมชนเพื่อให้การจัดการเหตุฉุกเฉินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.สุทธิศักดิ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชุมชน เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสภาวะอากาศสุดขั้วเป็นไปอย่างรุนแรง

 

การจัดการสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัย

การจัดการสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัยมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ เช่น ดินถล่ม น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือภูมิอากาศสุดขั้วที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การวางแผนก่อสร้างและจัดการสิ่งปลูกสร้างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศในพื้นที่เสี่ยง เป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชุมชน

จากบทสัมภาษณ์ของ ดร.สุทธิศักดิ์ ท่านได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนภูเขาและเนินเขา เช่น จังหวัดเชียงราย ที่มักประสบกับปัญหาดินถล่มหลังจากฝนตกหนัก การจัดการสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เหล่านี้จำเป็นต้องคำนึงถึงความเสี่ยงและความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรับมือกับภัยพิบัติเช่นนี้

การเลือกตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการจัดการสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัยคือ ตำแหน่งที่ตั้ง การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนพื้นที่ลาดชันหรือในพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำที่อาจเกิดน้ำท่วม เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกทำลายจากดินถล่มหรือน้ำหลาก ดร.สุทธิศักดิ์ เน้นถึงความสำคัญของการวางแผนที่ดีในการเลือกตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้าง โดยชี้ให้เห็นว่า หลายพื้นที่ที่เกิดดินถล่มหรือถูกน้ำท่วมเป็นพื้นที่ที่มีการก่อสร้างในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม และไม่ได้มีการประเมินความเสี่ยงมาก่อน

การเลือกพื้นที่สำหรับสิ่งปลูกสร้างควรคำนึงถึง:

  • ระดับความลาดชันของพื้นที่ หากพื้นที่มีความชันมาก ควรหลีกเลี่ยงการก่อสร้างหรือมีการเสริมสร้างโครงสร้างป้องกัน
  • ความใกล้ชิดกับแหล่งน้ำหรือจุดเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม
  • การศึกษาข้อมูลและแผนที่ความเสี่ยงภัยพิบัติในพื้นที่ เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อสร้างในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง

การออกแบบสิ่งปลูกสร้างให้ทนต่อภัยพิบัติ

การออกแบบและก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัยจำเป็นต้องคำนึงถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง เพื่อให้สามารถทนต่อภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น:

  • การสร้างกำแพงป้องกันดินสไลด์: ในพื้นที่ภูเขาที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม กำแพงป้องกันดินสไลด์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ดร.สุทธิศักดิ์ ได้พัฒนา บล็อกอิฐ (TOR Block) จากดินโคลนที่เกิดจากดินถล่มมาใช้ในการสร้างกำแพงเหล่านี้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุนและยังสามารถนำทรัพยากรจากภัยพิบัติมาใช้ประโยชน์ได้
  • การยกพื้นบ้านให้สูงขึ้น: สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อน้ำท่วม การยกพื้นบ้านให้สูงจากระดับน้ำท่วมเป็นมาตรการหนึ่งที่สามารถช่วยป้องกันความเสียหายจากน้ำได้ เช่นเดียวกับบ้านเรือนแบบดั้งเดิมที่ยกเสาสูงเพื่อป้องกันน้ำหลาก
  • การใช้วัสดุก่อสร้างที่ทนทาน: วัสดุก่อสร้างที่ทนต่อสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น ฝนตกหนักหรือแผ่นดินไหว ควรได้รับการพิจารณา โดยเฉพาะการใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติในการต้านทานการพังทลายของดินและโคลน เช่น การใช้คอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความแข็งแรงมากกว่าวัสดุก่อสร้างทั่วไป

การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากสิ่งปลูกสร้างส่วนบุคคลแล้ว โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน เขื่อน หรือสะพาน ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นโครงสร้างที่ใช้ร่วมกันในชุมชนและมักได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ การก่อสร้างถนนในพื้นที่ลาดชันควรมีการสร้างรางระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันน้ำหลาก นอกจากนี้ การสร้างกำแพงป้องกันดินสไลด์บนถนนหรือทางเข้าหมู่บ้านที่เสี่ยงต่อดินถล่มจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียทรัพย์สิน

บทบาทของชุมชนในการจัดการสิ่งปลูกสร้าง

การจัดการสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่เสี่ยงภัยไม่สามารถทำได้เพียงแค่การวางแผนจากภาครัฐหรือหน่วยงานท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัย การมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งชุมชนท้องถิ่นควรมีบทบาทในการประเมินความเสี่ยงและการออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตนเอง รวมถึงการซักซ้อมรับมือกับภัยพิบัติในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ดร.สุทธิศักดิ์ ยังแนะนำให้ชุมชนท้องถิ่นมีการ ซักซ้อมแผนการอพยพ และการรับมือกับภัยพิบัติ โดยการจัดการกับปัญหาดินถล่มหรือภัยพิบัติอื่น ๆ ไม่ควรรอให้เกิดเหตุการณ์แล้วจึงแก้ไข แต่ควรเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ