จากบทสนทนาในงานหัวข้อ “ภัยพิบัติที่ไร…ทำไมต้องมีภาคประชาสังคม?” เราได้ฟังเรื่องราวและมุมมองที่น่าสนใจของมูลนิธิกระจกเงาจากคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ และ อ.ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์จากสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ในงาน “เชียงรายสนทนา” ที่ได้สรุปความรู้สำคัญเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ ทั้ง 4 ขั้นตอนการจัดการ การบริหารอาสาสมัคร คุณสมบัติและคุณค่าที่อาสาสมัครได้รับ ที่มาของทุน วิธีการระดมทุน การสร้างความไว้วางใจ และความเชื่อมโยงระหว่างภัยพิบัติกับภาคประชาสังคม เราขอแบ่งปันสาระที่สำคัญเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของภาคประชาสังคมในการรับมือกับภัยพิบัติและการฟื้นฟูชุมชน.
กระบวนการจัดการภัยพิบัติ ประกอบด้วย 4 ช่วง
การจัดการภัยพิบัติเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องและฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบ กระบวนการนี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงหลัก ได้แก่ การป้องกัน เผชิญเหตุ ฟื้นฟู และพัฒนา แต่ละช่วงมีความสำคัญและมีบทบาทที่แตกต่างกันในการรับมือกับภัยพิบัติ
1. การป้องกัน
ขั้นตอนการป้องกันเป็นการเตรียมการก่อนเกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นที่การลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น กระบวนการนี้รวมถึงการวางแผนและการสร้างระบบเตือนภัย การให้ความรู้และฝึกอบรมประชาชนในเรื่องการรับมือกับภัยพิบัติ
2. การเผชิญเหตุ
ช่วงของการเผชิญเหตุเป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นเมื่อมีภัยพิบัติ การดำเนินการในช่วงนี้เน้นไปที่การตอบสนองต่อเหตุการณ์โดยตรง เช่น การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง การจัดหาอาหาร น้ำดื่ม และบริการทางการแพทย์ รวมถึงการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
3. การฟื้นฟู
การฟื้นฟูคือขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากสถานการณ์ภัยพิบัติคลี่คลาย การดำเนินงานในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูสภาพพื้นที่และสังคมให้กลับมาเป็นปกติ โดยมีการทำความสะอาดและซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับความเสียหาย การดูแลสุขภาพจิตและสุขภาพกายของผู้ประสบภัย รวมถึงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในชุมชน 4. 4. การพัฒนา
การพัฒนาเป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการจัดการภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต การเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและปรับปรุงระบบการเตรียมความพร้อมและการตอบสนองให้ดียิ่งขึ้น
3 กองในการจัดการอาสาสมัคร
การจัดการอาสาสมัครในสถานการณ์ภัยพิบัติเป็นงานที่ซับซ้อนและต้องการการประสานงานอย่างเป็นระบบ การแบ่งหน้าที่ให้กับอาสาสมัครจึงมีความสำคัญในการทำให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มูลนิธิกระจกเงาใช้วิธีการแบ่งอาสาสมัครออกเป็นสามกองหลัก ได้แก่ กองหน้า กองกลาง และกองหลัง แต่ละกองมีบทบาทที่แตกต่างกันเพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่หลากหลายได้อย่างเต็มที่
1. กองหน้า
กองหน้าเป็นกลุ่มอาสาสมัครที่ลงพื้นที่ประสบภัยโดยตรง มีบทบาทสำคัญในการเผชิญเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตราย การอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย และการให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น กองหน้าต้องการอาสาสมัครที่มีความกล้าหาญ มีความสามารถในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และสามารถทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี การลงพื้นที่ในบทบาทนี้มักเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ซึ่งต้องการทักษะและความอดทนอย่างมากเพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. กองกลาง
กองกลางเป็นกลุ่มอาสาสมัครที่ทำงานสนับสนุนในพื้นที่ปฏิบัติการ โดยหน้าที่หลักคือการจัดเตรียมและแจกจ่ายสิ่งของจำเป็น เช่น อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า และอุปกรณ์ทำความสะอาด นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่เพื่อประสานงานการช่วยเหลือ เช่น การจัดตั้งศูนย์พักพิง การดูแลสุขภาพและจิตใจของผู้ประสบภัย รวมถึงการให้ข้อมูลและคำแนะนำในการปฏิบัติตัว กองกลางต้องการอาสาสมัครที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย และสามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. กองหลัง
กองหลังเป็นกลุ่มอาสาสมัครที่ทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของกองหน้าและกองกลาง หน้าที่ของพวกเขารวมถึงการจัดเตรียมอุปกรณ์และทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็นในการดำเนินงาน การบริหารจัดการข้อมูล การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการจัดทำรายงานสถานการณ์และการติดตามผลการดำเนินงาน กองหลังต้องการอาสาสมัครที่มีทักษะในการบริหารจัดการ การวางแผน และการประสานงานที่ดี การทำงานของกองหลังเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้กองหน้าและกองกลางสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
อาสาสมัคร
คุณสมบัติของอาสาสมัคร
เรียบง่าย
อาสาสมัครที่ดีต้องมีความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนในความคิดและการดำเนินงาน การทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ความเรียบง่ายช่วยให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่ภารกิจหลักและจัดการกับงานตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมีการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนหรือการวางแผนที่ยุ่งยาก การทำงานที่เรียบง่ายนี้ช่วยลดความซับซ้อนของปัญหาและเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือได้ยืดหยุ่น
อาสาสมัครต้องมีความยืดหยุ่นในการทำงาน เพราะสถานการณ์ภัยพิบัติมักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาสาสมัครที่มีความยืดหยุ่นสามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแผนการทำงาน การย้ายไปช่วยเหลือในพื้นที่ใหม่ หรือการปรับบทบาทหน้าที่ตามความต้องการของสถานการณ์ คุณสมบัตินี้ช่วยให้อาสาสมัครสามารถเผชิญกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ
คุณค่าที่อาสาสมัครได้รับ
คุณค่าที่แตกต่างไป
อาสาสมัครได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครจากการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นสถานการณ์จริงในพื้นที่ภัยพิบัติ การเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน หรือการมีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในชุมชน ประสบการณ์เหล่านี้เป็นคุณค่าที่แตกต่างไปจากการทำงานในชีวิตประจำวันทั่วไป ทำให้อาสาสมัครได้รับมุมมองใหม่ ๆ ต่อชีวิตและสังคม รวมถึงการรู้สึกถึงความหมายในการทำงานเพื่อผู้อื่นเปลี่ยนแปลงความคิด
การเป็นอาสาสมัครไม่เพียงแต่ให้โอกาสในการช่วยเหลือผู้อื่น แต่ยังช่วยเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวอาสาสมัครเอง จากการเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากและการร่วมงานกับคนหลากหลาย ทำให้อาสาสมัครได้รับบทเรียนที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความอดทน การทำงานเป็นทีม และการแก้ไขปัญหาในภาวะวิกฤต พวกเขาจะได้รับความมั่นใจเพิ่มขึ้นในการเผชิญกับความท้าทายในชีวิต และมีความเชื่อมั่นว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้หากมีความพยายามและความมุ่งมั่น
ทุนในการทำงาน
การดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือในสถานการณ์ภัยพิบัติจำเป็นต้องอาศัยทุนทรัพย์ที่มั่นคงและต่อเนื่อง มูลนิธิกระจกเงาได้เลือกที่จะพึ่งพาทุนที่ได้จากการระดมทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะจากคนธรรมดาทั่วไป ซึ่งเป็นกลุ่มคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมที่มีความมุ่งมั่นในการมีส่วนร่วมกับการช่วยเหลือสังคม นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้การระดมทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการสร้างความไว้วางใจจากสาธารณะด้วยการทำงานอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิผล
ที่มาของทุน: จากการระดมทุนในประเทศ โดยคนตัวเล็กๆ
มูลนิธิกระจกเงาได้รับทุนหลักมาจากการระดมทุนภายในประเทศ ซึ่งมาจากการบริจาคของประชาชนทั่วไป ไม่ใช่เพียงการสนับสนุนจากองค์กรขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่กลับมาจากคนตัวเล็กๆ ที่มีความตั้งใจในการช่วยเหลือผู้อื่น ทุนเหล่านี้มักจะมาจากการบริจาคจำนวนเล็ก ๆ เช่น 100 บาท หรือบางครั้งก็ต่ำเพียง 19 บาท ซึ่งเกิดขึ้นจากการรณรงค์ในโซเชียลมีเดีย ที่ทำให้การบริจาคเป็นเรื่องง่ายและทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้
วิธีการระดมทุน: สื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยี E-Banking
มูลนิธิกระจกเงาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการระดมทุน โดยการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ทำให้สามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้ในเวลาที่รวดเร็ว นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี E-Banking ทำให้การบริจาคเงินกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากขึ้น ผู้คนสามารถบริจาคได้ทุกที่ทุกเวลาเพียงไม่กี่คลิก ทำให้การระดมทุนจากประชาชนทั่วไปมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
การสร้างความไว้วางใจ: โปร่งใส ภาพลักษณ์ที่ชัดเจน และการทำงานเป็นรูปธรรม
ความไว้วางใจจากสาธารณะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มูลนิธิกระจกเงาสามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่อง มูลนิธิเน้นการทำงานอย่างโปร่งใส โดยเปิดเผยข้อมูลการใช้จ่ายและการดำเนินงานให้สาธารณชนได้รับรู้ ทำให้ผู้บริจาคมั่นใจว่าเงินทุกบาทที่บริจาคไปจะถูกใช้ไปอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ของมูลนิธิก็มีความชัดเจนในด้านความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคม และทำงานอย่างจริงจังเพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้
มูลนิธิยังมุ่งเน้นการทำงานที่เป็นรูปธรรม สามารถเห็นผลได้จริง เช่น การจัดการภัยพิบัติที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วและตรงจุด การบริหารจัดการอาสาสมัครอย่างเป็นระบบ และการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ การทำงานที่มีประสิทธิภาพนี้ช่วยสร้างความไว้วางใจจากสังคม ทำให้การระดมทุนสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิผลสูงสุด
ความเกี่ยวข้องกันระหว่างภัยพิบัติกับประชาสังคม
ภัยพิบัติเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดและสามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่ชุมชนได้ การตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ ภาคประชาสังคมมีความสามารถเฉพาะตัวในการเข้าถึงชุมชนและเชื่อมโยงกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ตลอดจนเติมเต็มช่องว่างในระบบการช่วยเหลือและสร้างความไว้วางใจในช่วงเวลาวิกฤต
ตอบสนองรวดเร็วและยืดหยุ่น
ภาคประชาสังคมสามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น ด้วยโครงสร้างองค์กรที่ไม่ซับซ้อน ทำให้สามารถตัดสินใจและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันที การทำงานแบบนี้ช่วยให้สามารถส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยได้รวดเร็ว เช่น มูลนิธิกระจกเงาที่สามารถจัดทีมอาสาสมัครลงพื้นที่ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์
เข้าถึงและเชื่อมโยงกับชุมชน
ภาคประชาสังคมมีความสามารถในการเข้าถึงและเชื่อมโยงกับชุมชนได้อย่างใกล้ชิด ทำให้เข้าใจความต้องการและปัญหาที่แท้จริงของผู้ประสบภัย การมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับชุมชนช่วยให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันกับผู้นำชุมชนและสมาชิกชุมชนยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือและการสนับสนุนที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
เติมเต็มช่องว่างในระบบการช่วยเหลือ
ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการเติมเต็มช่องว่างในระบบการช่วยเหลือที่ภาครัฐอาจไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด ด้วยการใช้เครือข่ายอาสาสมัครและทรัพยากรในท้องถิ่น ภาคประชาสังคมสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึงและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่อาจถูกละเลยจากระบบหลัก เช่น การให้ความช่วยเหลือในชุมชนห่างไกลที่มูลนิธิกระจกเงาเคยดำเนินการมาแล้ว
สร้างความไว้วางใจ
ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญในการทำงานของภาคประชาสังคม โดยการทำงานอย่างโปร่งใสและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ภาคประชาสังคมสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนและผู้สนับสนุน ทำให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนและการสนับสนุนที่ต่อเนื่องในระยะยาว
ระดมทรัพยากรและการสนับสนุนจากภายนอก
ภาคประชาสังคมมีความสามารถในการระดมทรัพยากรและการสนับสนุนจากภายนอก เช่น การบริจาคจากประชาชนทั่วไป การจัดกิจกรรมระดมทุน และการได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่างๆ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โซเชียลมีเดีย และระบบ E-Banking ทำให้การระดมทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถเข้าถึงผู้สนับสนุนได้มากขึ้น
สร้างความตระหนักรู้
ภาคประชาสังคมทำหน้าที่สำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติและการเตรียมความพร้อมในชุมชน การให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและตอบสนองต่อภัยพิบัติ เช่น การฝึกอบรม การจัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้ดียิ่งขึ้น
เตรียมความพร้อมในชุมชน
การเตรียมความพร้อมในชุมชนเป็นหน้าที่หลักของภาคประชาสังคม โดยมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งและความสามารถของชุมชนในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต ผ่านการจัดกิจกรรมฝึกอบรมและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชน ซึ่งช่วยให้ชุมชนมีความพร้อมในการเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การช่วยฟื้นฟูระยะยาว
นอกจากการตอบสนองฉุกเฉินแล้ว ภาคประชาสังคมยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยฟื้นฟูชุมชนในระยะยาว โดยเน้นที่การสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในด้านต่าง ๆ เช่น การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การสร้างงาน การดูแลสุขภาพจิต และการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น การทำงานเหล่านี้ช่วยให้ชุมชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต